ระบบเครือข่ายไร้สาย
(Wireless
LAN) ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LANs) เกิดขึ้นครั้งแรก
ในปี ค.ศ. 1971 บนเกาะฮาวาย โดยโปรเจกต์
ของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาย ที่ชื่อว่า “ALOHNET” ขณะนั้นลักษณะการส่งข้อมูลเป็นแบบBi-directional
ส่งไป-กลับง่ายๆ ผ่านคลื่นวิทยุ สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ 7
เครื่อง ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ 4 เกาะโดยรอบ
และมีศูนย์กลางการเชื่อมต่ออยู่ที่เกาะๆหนึ่ง ที่ชื่อว่า Oahu
เครือข่ายไร้สาย
เครือข่ายไร้สาย
ระบบเครือข่ายไร้สาย (WLAN = Wireless Local Area Network) คือ ระบบการสื่อสารข้อมูลที่มีรูปแบบในการสื่อสารแบบไม่ใช้สาย โดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และ คลื่นอินฟราเรด ในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ผ่านอากาศ, ทะลุกำแพง, เพดานหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย นอกจากนั้นระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอย่างเหมือนกับระบบ LAN แบบใช้สาย
ที่สำคัญก็คือ
การที่ไม่ต้องใช้สายทำให้การเคลื่อนย้ายการใช้งานทำได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบ LAN แบบใช้สาย
ที่ต้องใช้เวลาและการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
6.1 จุดเด่นของเครือข่ายไร้สาย
6.1 จุดเด่นของเครือข่ายไร้สาย
ในความเป็นจริงแล้วระบบเครือข่ายแบบไร้สายมีอยู่มากมาย
ระบบแลนไร้สาย หรือ WLAN
หมายถึงการให้บริการติดต่อกับระหว่างเครือข่ายผ่านทางระบบไร้สาย
ต่อมาเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายนั้นจะมีมาตรฐานที่ถูกกำหนดจากองค์กรสำคัญที่ทำหน้าที่ออกแบบและวางข้อกำหนดวิศวกรรมไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาคือ
IEEE (Institute for Electrical and Electronics
Engineers: IEEE) ว่าเป็นมาตรฐานแบบ 802.11 หรือ IEEE 802.11 จึงทำให้ระบบเครือข่ายไร้สายที่ให้มาตรฐานนี้เรียกว่า Wi-Fi
(Wireless Fidelity) เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์ดังนี้
อำนวยความสะดวกในการทำงาน
: เครือข่ายไร้สายอำนวยความสะดวกในการทำงาน
โดยเอื้อต่อการใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ระหว่างสำนักงานและที่บ้าน
ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
สะดวกต่อการติดตั้ง
: เครือข่ายไร้สายจะต้องการ access point เป็นจุดกระจายสัญญาณเพื่อให้เครือข่ายทำงานได้
แทนการใช้สายสัญญาณเพิ่มและฮับหรือสวิตช์
เพื่อทำการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่เข้ากับระบบ
สะดวกต่อการขยายเครือข่าย
:
เครือข่ายไร้สายสามารถเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายได้โดยไม่จำเป็นต้องรอความพร้อมของสายสัญญาณ
และสามารถจัดตำแหน่งต่าง ๆ ใหม่ได้
เมื่อต้องการย้ายตำแหน่งที่ตั้งของเครื่องคอมพิวเตอร์
ประหยัด
: เครือข่ายไร้สาย จะลดต้นทุนของสายสัญญาณ
และยังช่วยลดต้นทุนการติดตั้งสายสัญญาณอีกด้วย
6.2 ข้อด้อยของเครือข่ายไร้สาย
อย่างไรก็ตาม
เครือข่ายไร้สายก็ยังมีจัดอ่อนที่ต้องพิจารณาก่อนทำการติดตั้งเครือข่าย ดังนี้
ความปลอดภัย
: เนื่องจากเครือข่ายไร้สายใช้สัญญาณวิทยุเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูล
ซึ่งจะทำการส่งสัญญาณออกไปทุกทิศทาง ข้อมูลนี้สามารถรับได้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเครือข่ายไร้สายที่อยู่ในระยะของสัญญาณที่ไปถึงได้
ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ อาจถูกดักจับได้
จึงได้มีการคิดค้นการเข้ารหัสสัญญาณก่อนทำการส่งสัญญาณออกไป
ผู้ที่ทราบวิธีการเข้ารหัสหรือมีโปรแกรมการเข้ารหัสดังกล่าวเท่านั้นจึงจะสามารถรับข้อมูลนั้นได้
ระยะทาง
: ระยะทางการทำงานของเครือข่ายไร้สายนั้นจะมีระยะทางที่จำกัด
ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งในอาคารขนาดใหญ่ เพราะจะต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ (Repeater) หรือ Access point เพิ่มเติม
นอกจากนี้ระยะทางของเครือข่ายยังขึ้นกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย
ความน่าเชื่อถือ
: การใช้สัญญาณวิทยุเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลนั้น
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในจุดอับสัญญาณอาจเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ยาก
หรืออาจเชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่ได้เลย
ความเร็วการเชื่อมต่อ
:
ความเร็วในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายนั้น
จะมีความเร็วตั้งแต่ 1-54 Mbps ซึ่งจะเห็นว่ามีความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำเมื่อเทียบกับเครือข่ายแบบใช้สายสัญญาณที่มีความเร็วสูงถึง
100 Mbps นอกจากนี้เครือข่ายไร้สานยังต้องพบกับปัญหาคอขวด (Bottle
neck) เมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ทำให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลจึงจะต่ำกว่าความเร็วที่แสดงในการเชื่อมต่อมาก
6.3 ระบบเครือข่ายแลนไร้สาย (Wireless LAN,
WLAN)
แลนไร้สาย หรือ ไวเลสแลน
(Wireless LAN, WLAN) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายภายในพื้นที่แบบไร้
สาย โดยใช้คลื่นความถี่ วิทยุใน การเชื่อมต่อหรือสื่อสารกัน
การเชื่อมต่อแลนไร้สายมีทั้งแบบเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน
และเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access
Point)คำว่าไวเลส(Wireless) คือไม่มีสายลองนึกภาพถึงแลนปกติที่เชื่อมต่อกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับสวิตซ์ (Switch) หรือฮับ (Hub) ด้วยสายสัญญาณที่เรียกว่า สาย UTP แต่ไวเลส คือการเชื่อมต่อที่ไม่มีมีสายแลนนั่นเอง
แลน (LAN or
Local Area Network) คือระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายภายในพื้นที่
เช่นระบบแลนภายในบ้าน ในบริษัทหรือองค์กร ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
มาตราฐานความเร็วของแลนไร้สาย
ความเร็วที่ใช้ในการสื่อสารกันหรือเชื่อมต่อกัน มีมาตราฐานรองรับ เช่น IEEE 802.11a, b และ g ซึ่งแต่ละมาตราฐานจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
6.3.1 มาตรฐานของระบบแลนไร้สาย
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าระบบแลนแบบไร้สายจะใช้คลื่นวิทยุเป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูล
กับอุปกรณ์ต่างๆ มาตรฐานของเครือข่ายแลนแบบไร้สายจะมีมาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งสามารถแยกเป็นมาตรฐานย่อยๆ ได้ดังนี้
IEEE 802.11a
เป็นมาตรฐานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยใช้เทคโนโลยี OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) เพื่อพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ไร้สายมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงสุด 54 เมกะบิตต่อวินาที โดยใช้คลื่นวิทยุย่านความถี่ 5 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานโดยทั่วไปในประเทศไทย เนื่องจากสงวนไว้สำหรับกิจการทางด้านดาวเทียม ข้อเสียของผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11a ก็คือมีรัศมีการใช้งานในระยะสั้นและมีราคาแพง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ไร้สายมาตรฐาน IEEE 802.11a จึงได้รับความนิยมน้อย
เป็นมาตรฐานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยใช้เทคโนโลยี OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) เพื่อพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ไร้สายมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงสุด 54 เมกะบิตต่อวินาที โดยใช้คลื่นวิทยุย่านความถี่ 5 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานโดยทั่วไปในประเทศไทย เนื่องจากสงวนไว้สำหรับกิจการทางด้านดาวเทียม ข้อเสียของผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11a ก็คือมีรัศมีการใช้งานในระยะสั้นและมีราคาแพง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ไร้สายมาตรฐาน IEEE 802.11a จึงได้รับความนิยมน้อย
IEEE802.11b
เป็นมาตรฐานที่ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ออกมาพร้อมกับมาตรฐาน IEEE802.11a เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมในการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้รองรับมาตรฐาน IEEE802.11b ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า CCK (Complimentary Code Keying) ร่วมกับเทคโนโลยี DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum) เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดที่ 11 เมกะบิตต่อวินาที โดยใช้คลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่อนุญาตให้ใช้งานในแบบสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และการแพทย์ โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความถี่ย่านนี้มีชนิด ทั้งผลิตภัณฑ์ที่รองรับเทคโนโลยี Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สายและเตาไมโครเวฟ จึงทำให้การใช้งานนั้นมีปัญหาในเรื่องของสัญญาณรบกวนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ข้อดีของมาตรฐาน IEEE802.11b ก็คือสนับสนุนการใช้งานเป็นบริเวณกว้างกว่ามาตรฐาน IEEE 802.11a ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11b เป็นที่รู้จักในเครื่องหมายการค้าWi-Fi ซึ่งกำหนดขึ้นโดย WECA (Wireless Ethernet Compatability Alliance) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมาย Wi-Fi ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน IEEE 802.11b ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้
เป็นมาตรฐานที่ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ออกมาพร้อมกับมาตรฐาน IEEE802.11a เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมในการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้รองรับมาตรฐาน IEEE802.11b ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า CCK (Complimentary Code Keying) ร่วมกับเทคโนโลยี DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum) เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดที่ 11 เมกะบิตต่อวินาที โดยใช้คลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่อนุญาตให้ใช้งานในแบบสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และการแพทย์ โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความถี่ย่านนี้มีชนิด ทั้งผลิตภัณฑ์ที่รองรับเทคโนโลยี Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สายและเตาไมโครเวฟ จึงทำให้การใช้งานนั้นมีปัญหาในเรื่องของสัญญาณรบกวนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ข้อดีของมาตรฐาน IEEE802.11b ก็คือสนับสนุนการใช้งานเป็นบริเวณกว้างกว่ามาตรฐาน IEEE 802.11a ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE 802.11b เป็นที่รู้จักในเครื่องหมายการค้าWi-Fi ซึ่งกำหนดขึ้นโดย WECA (Wireless Ethernet Compatability Alliance) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมาย Wi-Fi ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน IEEE 802.11b ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้
EEE802.11g
เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบันและได้เข้ามาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11bเนื่องจากสนับสนุนอัตราความเร็วของการรับส่งข้อมูลในระดับ54เมกะบิตต่อวินาทีโดยใช้เทคโนโลยีOFDMบนคลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่2.4กิกะเฮิรตซ์ และให้รัศมีการทำงานที่มากกว่าIEEE802.11aพร้อมความสามารถในการใช้งานร่วมกันกับมาตรฐานIEEE 802.11b ได้ (Backward-Compatible)
เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบันและได้เข้ามาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11bเนื่องจากสนับสนุนอัตราความเร็วของการรับส่งข้อมูลในระดับ54เมกะบิตต่อวินาทีโดยใช้เทคโนโลยีOFDMบนคลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่2.4กิกะเฮิรตซ์ และให้รัศมีการทำงานที่มากกว่าIEEE802.11aพร้อมความสามารถในการใช้งานร่วมกันกับมาตรฐานIEEE 802.11b ได้ (Backward-Compatible)
EEE802.11n
เป็นเทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างการทดสอบ
มีความเร็วและระยะทางสูงสุดมากกว่าเทคโนโลยี802.11g
มาตรฐาน
|
ปีที่ประกาศรับรอง
|
ย่านความถี่ที่ใช้ (GHz)
|
ความเร็วสูง
สุด(Mbps)
|
ระยะทางในร่ม(m)
|
ระยะทางกลางแจ้ง(m)
|
802.11a
|
1999
|
5.15-5.35/5.47-5.725/5.725-5.875 GHz
|
54 Mbit/s
|
-25 m
|
-75 m
|
802.11b
|
1999
|
2.4-2.5 GHz
|
-35 m
|
-100 m
|
|
802.11g
|
2003
|
2.4-2.5 GHz
|
11 Mbit/s
|
-25 m
|
-75 m
|
802.11n
|
อยู่ระหว่างการพิจารณา
|
2.4 GHz หรือ
5 GHz bands
|
54 Mbit/s
540 Mbit/s
|
-50 m
|
-125 m
|
ตารางเปรียบเทียบมาตรฐาน IEEE 802.11 แบบต่างๆ
6.3.2
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย
ระบบเครือข่ายไร้สาย
เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไม่มากนัก
และมักจำกัดอยู่ในอาคารหลังเดียวหรืออาคารในละแวกเดียวกัน
การใช้งานที่น่าสนใจที่สุดของเครือข่ายไร้สายก็คือ
ความสะดวกสบายที่ไม่ต้องติดอยู่กับที่
ผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้โดยที่ยังสื่อสารอยู่ในระบบเครือข่าย
รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สาย
การเชื่อมต่อเครื่องต่อเครื่อง (Peer-to-peer) รูปแบบการเชื่อมต่อระบบแลนไร้สายแบบ Peer
to Peer เป็นลักษณะ
การเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ wireless adapter
cards โดยไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบใช้สายเลย
โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน
สามารถทำงานของตนเองได้และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้
เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อจุดประสงค์ในด้านความรวดเร็วหรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับ
ยกตัวอย่างเช่น ในศูนย์ประชุม, หรือการประชุมที่จัดขึ้นนอกสถานที่
Infrastructure หรือ Distribution
system ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Infrastructure หรือ Distribution
system เป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย
Access Point (AP) หรือเรียกว่า “Hot spot” ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย
(client) โดยจะกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อ
รับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรัศมีของ AP จะกลายเป็น เครือข่ายกลุ่มเดียวกันทันที โดยเครื่องคอมพิวเตอร์
จะสามารถติดต่อกัน หรือติดต่อกับ Server เพื่อแลกเปลี่ยนและค้นหาข้อมูลได้
โดยต้องติดต่อผ่านAP เท่านั้น ซึ่ง AP 1 จุด สามารถให้บริการเครื่องลูกข่ายได้ถึง 15-50 อุปกรณ์
ของเครื่องลูกข่าย เหมาะสำหรับการนำไปขยายเครือข่ายหรือใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายแบบใช้สายเดิมในออฟฟิต,
ห้องสมุด หรือในห้องประชุม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น
6.4
ระบบเครือข่ายไร้สายอื่น ๆ
สำหรับระบบเครือข่ายไร้สายอื่น
ๆ ที่มีใช้ในปัจจุบันได้แก่
- ดาวเทียม
:
การเชื่อมต่อเครือข่ายด้วยสัญญาณดาวเทียมนั้น
จะใช้จานรับสัญญาณดาวเทียมเพื่อรับส่งข้อมูล
โดยดาวเทียมนี้ก็คือตัวทวนสัญญาณไมโครเวฟที่ลอยอยู่บนอากาศนั่นเองซึ่งจะทำให้ครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น
- โทรศัพท์เคลื่อนที่
:
เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน คือ 2G และ 3G เทคโนโลยี 3G รองรับความเร็วประมาณ 100
kbps ความสามารถในการเชื่อมต่อจะขึ้นกับสัญญาณโทรศัพท์จาก
ผู้ให้บริการ และ ความเร็วนั้นจะขึ้นกับความชัดของสัญญาณ
- เทคโนโลยี
WiMax :
คำว่า WiMax มาจากคำว่า Worldwide
Interoperability for Microwave Access โดยจะนำเทคโนโลยีแบบไมโครเวฟมาให้บริการเครือข่ายไร้สาย
โดยออกแบบเสาอากาศให้คลื่นสามารถเคลื่อนที่เฉพาะทิศทาง
หรือเคลื่อนที่แบบเป็นเส้นตรงและไม่เป็นเส้นตรงได้ โดยเทคโนโลยีนี้สามารถทำให้เครือข่ายไร้สายส่งได้ไกลมากขึ้นและส่งได้ด้วยความเร็วสูงมากขึ้น
เทคโนโลยีนี้จะใช้มาตรฐานที่มีชื่อว่า IEEE 802.16
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น